Wednesday, March 21, 2007

เจ้านายที่ดี - ภาค 1

ต้นมะพร้าว..ที่ฮาวาย
ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะ บุคลิกภาพ ความสามารถ สมรรถนะ ที่แตกต่างกัน การที่จะรู้จักบริหารผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้น เพื่อให้งานสำเร็จออกมาได้ จะต้องมีความรู้จักในตัวลูกน้องอย่างดีพอสมควร และจะต้องมองลูกน้องแต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าท่านผู้อ่านมีลูกน้องอยู่สิบคน ท่านผู้อ่านก็ใช้วิธีการในการบริหาร การจูงใจ การสั่งการ การมอบหมายงาน ที่เหมือนกันหมดสำหรับลูกน้องทั้งสิบคน

เราอาจจะสามารถตัดเสื้อโหลให้ลูกน้องทุกคนใส่ได้ และทุกคนก็ยอมใส่ (เนื่องจากเจ้านายตัดให้) แต่ท่านผู้อ่านจะพบว่า ลูกน้องบางคนใส่ได้พอดี บางคนหลวมไป หรือบางคนคับไป อุปมาก็เหมือนกับการบริหารจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนกันครับ ถ้าเราใช้วิธีเดียวกันหมดสำหรับลูกน้องทุกคน ก็จะได้ผลที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะทำงานได้ดี บางคนอาจจะพอเอาตัวรอด และบางคนอาจจะไม่รอดเลย

การที่จะบริหารงานลูกน้องให้ประสบผลสำเร็จนั้น คนที่เป็นเจ้านายจะต้องรู้จัก และเข้าใจในลูกน้องแต่ละคนแยกเป็นรายบุคคล (เหมือนกับเสื้อสั่งตัด ไม่ใช่เสื้อโหล) และสิ่งที่เจ้านายที่ดีจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับลูกน้องแต่ละคน ประกอบด้วยปัจจัยสามประการ ได้แก่



  1. จุดแข็ง ของบุคคลผู้นั้น
  2. ปัจจัยที่กระตุ้นหรือจูงใจให้เกิดจุดแข็งนั้น และ
  3. วิธีการที่ลูกน้องแต่ละคนใช้ในการเรียนรู้


1. จุดแข็งของบุคคลนั้น

ประการแรก คือ การทำความเข้าใจในจุดแข็งของลูกน้อง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เพียงสิ่งที่ลูกน้องแต่ละคนมีความโดดเด่นเท่านั้นนะครับ แต่จะต้องเข้าใจใน "จุดด้อย" หรือจุดอ่อนของลูกน้องแต่ละคนด้วย ซึ่งอาจจะพูดง่ายแต่ทำยากนะครับ เนื่องจากจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการรู้จัก และทำความเข้าใจต่อจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกน้องแต่ละคน

เจ้านายจะต้องใช้เวลาคลุกคลี และใกล้ชิดกับลูกน้องพอสมควรกว่าที่จะทำความเข้าใจถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของแต่ละคนได้ บางคนชอบใช้วิธีที่เรียกว่า MBWA (Management by Walking Around) หรือการเดินไป เดินมา เพื่อสำรวจพฤติกรรม ปฏิกิริยา และวิธีการในการทำงานของลูกน้องแต่ละคน

พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้านายจะต้องช่างสังเกตพอสมควร ถึงจะสามารถเข้าใจต่อจุดแข็ง และจุดอ่อนของลูกน้องแต่ละคนได้ แต่ถ้าไม่มีโอกาสหรือเวลาที่เอื้ออำนวย ก็อาจจะพูดคุยกับลูกน้องของท่าน และลองถามคำถามเขาดู และจากคำตอบเหล่านั้นก็พอที่จะวิเคราะห์ออกมาเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนของลูกน้องได้
ตัวอย่างคำถามเช่น "ลักษณะงานที่ชอบทำ หรือทำได้ดีคืออะไร" หรือ "ในรอบสามเดือนที่ผ่านมา วันไหนเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เพราะอะไร"

เราจะต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เวลาเราพูดถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกน้องแต่ละคน เราไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งที่เขามีความโดดเด่น หรือ อ่อนด้อย จุดแข็งอาจจะเป็นสิ่งที่ลูกน้องคนนั้นยังไม่เก่งก็ได้ แต่จะต้องเป็นสิ่งที่เขามีความพึงพอใจหรือชอบที่จะทำ พร้อมทั้งอยากจะทำอีกเรื่อยๆ และเขาเองก็จะเก่งขึ้นทุกครั้งที่ได้ทำงานดังกล่าว เพราะฉะนั้นคำถามที่ถามอาจจะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้อง กับความสนใจหรือสิ่งที่ลูกน้องชอบ
เช่นเดียวกัน จุดอ่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้ไม่ได้ดีนะครับ แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่อยากจะทำ หรือไม่สนใจจะทำ และเมื่อจะต้องทำแล้วก็จะไม่คิดอะไรนอกจากเมื่อไหร่จะไม่ต้องทำงานนั้นอีก

ทีนี้สาเหตุสำคัญที่เจ้านายจะต้องมุ่งที่จุดแข็งของลูกน้องเป็นหลัก เนื่องจากจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นำไปสู่การทำให้เกิดความมั่นใจในการทำงานของลูกน้อง ทั้งนี้หน้าที่ประการหนึ่งของเจ้านายคือ การทำให้ลูกน้องเกิดความมั่นใจในตนเอง (Self-Assurance) จากงานวิจัยต่างๆ พบว่าความมั่นใจตนเองเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การทำให้พนักงานตั้งเป้าหมายในการทำงานที่สูง การฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ การลุกขึ้นมายืนเมื่อล้ม และการบรรลุเป้าหมาย (ในที่สุด) ดังนั้นจึงกลายเป็นหน้าที่สำคัญของเจ้านาย ในการสร้างความมั่นใจในตนเองให้กับลูกน้อง แต่การจะทำแบบนั้นได้ก็จะต้องย้อนกลับมาสิ่งที่ลูกน้องชอบ มั่นใจ และสนใจอยากจะทำ ซึ่งก็คือ จุดแข็งของลูกน้องนั้นเอง

โดยสรุปเจ้านายจะต้องเข้าใจต่อจุดแข็ง สิ่งที่ลูกน้องชื่นชอบ และสนใจที่จะทำ และหาหนทางในการบริหารจัดการ เพื่อทำให้ลูกน้องเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น (จากการทำสิ่งที่ตนเองชอบ และทำได้ดี) แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงแค่ปัจจัยประการแรกของการเป็นเจ้านายที่ดีและเข้าใจต่อลูกน้องเท่านั้น ยังมีปัจจัยอย่างที่สอง ที่สามอีก

อ้างอิง: บทความ "มองมุมใหม่" : ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯธุรกิจ, เมษายน 2548



ลิงค์ไปภาคสอง

3 comments:

Anonymous said...

แล้วลูกน้องคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ ^__^

Anonymous said...

why don't you be my manager so I can be better! =) eieiee =)

Anonymous said...

เก่งจังเยย อิอิ ;)